โครงการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสะท้อนปัญหาการปนเปื้อนของสารเคมีในดินและน้ำใต้ดินในประเทศไทยที่ยังขาดมาตรการและการแก้ไขปัญหาเชิงนโยบายที่เป็นรูปธรรม ได้แก่กรณี (1) การปนเปื้อนของสารอินทรีย์ไอระเหย (Volatile Organic Compounds, VOCs) ในน้ำใต้ดินบริเวณรอบนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จ.ลำพูน (2) การปนเปื้อนของสารแคดเมียมในตะกอนดินบริเวณลุ่มน้ำแม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก (3) การประกอบกิจการฝังกลบขยะกากของเสียอุตสาหกรรมของบริษัทเบตเตอร์เวิล์ดกรีน จ.สระบุรี และ (4) การประกอบกิจการฝังกลบขยะชุมชนของสำนักงานกรุงเทพมหานคร ณ แหล่งฝังกลบ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา
จากการศึกษาพบว่าทั้งสี่กรณีศึกษา ยังพบอุปสรรคปัญหาด้านการจัดการมลพิษ เนื่องด้วยการขาดธรรมาภิบาลด้านสิ่งแวดล้อม ศักยภาพขององค์กรท้องถิ่นยังไม่เพียงพอในการติดตามตรวจสอบปัญหามลพิษที่เกิดขึ้นจำเป็นต้องมีการเสริมสร้างความรู้ทักษะด้านการตรวจสอบปัญหามลพิษ นอกจากนี้หน่วยงานภาครัฐที่ทำหน้าที่กำกับดูแลยังขาดความมีเอกภาพในการตรวจสอบ ตลอดจนกระบวนการยุติธรรมเพื่อเอาผิดกับผู้ก่อมลพิษยังประสิทธิภาพ
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในภาพรวมของมาตรการป้องกันและแก้ปัญหาการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดิน ประกอบด้วย
มาตรการป้องกันเพื่อป้องกันปัญหา เริ่มตั้งแต่การออกใบอนุญาตและการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA) ต้องให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่ออกใบอนุญาตตรวจสอบและกลั่นกรองคัดเลือกอุตสาหกรรมที่มีความคุ่มค่า รวมถึงการทำ EIA ควรให้มีหน่วยงานกลางว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาโดยไม่ผ่านจากบริษัทเจ้าของโครงการ ตลอดจนให้ปรับอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานให้มีความชัดเจน และมีความเป็นเอกภาพในเรื่องการอนุญาต และกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันการทำหน้าที่ทับซ้อนกัน (Conflict of Interest) ซึ่งจะช่วยให้เกิดการถ่วงดุลและคานอำนาจ (check and balance) นอกจากนี้เสนอให้มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนการอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาตและการกำหนดเงื่อนไขการควบคุมมลพิษ ต้องผ่านขั้นตอนการกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและการปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนควรให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับมีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน และวิธีการวัดและปฏิบัติที่มีกฎเกณฑ์เดียวกัน รวมทั้งเสนอ ให้มีการนำมาตรการการตรวจสอบที่ดิน (soil audit) มาใช้ โดยกำหนดกฎหมายหรือข้อบังคับให้มีการตรวจสอบคุณภาพดินและแหล่งน้ำใต้ดินในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อน ก่อนมีการเปลี่ยนเจ้าของที่ดิน เพื่อเป็นการสร้างความรับผิดชอบให้กับคนที่ใช้พื้นที่ดินในบริเวณนั้น
สำหรับการการตรวจสอบการทำงานเสนอให้เพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบต้องกำกับดูแลเอาผิดอย่างเข้มงวด และให้ปรับบทบาทความรับผิดชอบในเรื่องการกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อม ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ตรวจสอบดูแลโดยตรง ในกรณีที่มีการค้นพบหรือยืนยัน (identify) ปัญหาการปนเปื้อน เสนอให้มีการสำรวจแหล่งที่มีการปนเปื้อนที่เป็นระบบ รวมทั้งมีการจัดทำ National Priority List หรือ NPL ซึ่งเป็นบัญชีจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ที่มีการปนเปื้อน
มาตรการการแก้ปัญหา ประกอบด้วยมาตรการระยะสั้น คือ ให้มีหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพหลักในการรับผิดชอบโดยตรง และแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ตลอดจนมีกองทุนเพื่อนำเงินมาใช้ในการฟื้นฟูและเยียวยาผู้เสียหายในกรณีเร่งด่วน สำหรับ มาตรการระยะยาว เสนอให้มีการบริหารจัดการกองทุนสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ โดยมีรายได้จากภาษีสิ่งแวดล้อมหรือระบบการประกันภัยด้านสิ่งแวดล้อม และ เสนอให้มีหน่วยงานกลางที่มีความรู้ทางเทคนิคในการกำหนดและประเมินมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่เหมาะกับประเทศ รวมถึงกระบวนการยุติธรรม ควรนำหลักผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบ (PPP) มาบังคับใช้อย่างมีประสิทธิผลตลอดจนลดปัญหาความขัดแย้งและความไม่เป็นธรรม
การติดตามประเมินผลและเฝ้าระวังหลังเกิดปัญหา ควรดำเนินการเป็นระบบ คือ ระดับชาติให้มีเจ้าภาพ ในการประสานงานและติดตาม ตรวจสอบปัญหา และระดับพื้นที่ ให้สร้างกระบวนการเรียนรู้เพื่อเพิ่มศักยภาพของประชาชน การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน นอกจากนี้ควรมีการสร้างฐานข้อมูลและการเปิดเผยข้อมูล ซึ่งจะไปโยงกับการตรวจสอบการทำงาน (Database & information disclosure)