วันที่ 5 มิถุนายนปี 2022 นี้ ครบรอบ 50 ปี World Environment Day หรือวันสิ่งแวดล้อมโลก ที่องค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) จัดตั้งขึ้นในปี 1972 พร้อมจัดการประชุมสหประชาชาติเรื่องสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ (UN Conference on the Human Environment) ในวันที่ 5-16 มิถุนายน 1972 ณ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน
โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme: UNEP) ก็ถูกตั้งขึ้นมาจากการประชุมครั้งนั้น เพื่อเป็นองค์กรย่อยของสหประชาชาติที่ดูแลงานด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ
สำหรับวาระครบรอบ 50 ปี วันสิ่งแวดล้อมโลกในปีนี้ ประเทศสวีเดนเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติอีกครั้ง ในชื่อ Stockholm+50
ธีมวันสิ่งแวดล้อมโลกในช่วงเวลา 5 ทศวรรษที่ผ่านมาแสดงให้เห็นประเด็นความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมในขณะนั้นๆ ตัวอย่างเช่น ในปี 1977 มุ่งเน้นประเด็นการลดลงของปริมาณก๊าซโอโซนในชั้นบรรยากาศ และในปี 1983 เน้นที่การแก้ปัญหาฝนกรด ปี 1989 เป็นธีมเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งยังเป็นวาระที่เราต้องให้ความสำคัญกันอยู่ในปัจจุบัน
ส่วนธีมวันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้คือ Only One Earth ที่มุ่งเน้นสื่อสารให้มวลมนุษยชาติตระหนักถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน กระตุ้นเตือนว่าเรามีโลกเพียงใบเดียว เราต้องช่วยกันเร่งดูแลและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อให้โลกของเราเป็นโลกที่เหมาะต่อการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตอันหลากหลาย
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ World Environment Day บอกไว้ว่า การขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนนั้นต้องให้รัฐบาลเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก เพราะมีเพียงรัฐบาลเท่านั้นที่สามารถดำเนินการข้ามไปมาระหว่างหลายภาคส่วนในหลายๆ ระดับได้ ทั้งในระดับสากล ระดับประเทศ หรือระดับภูมิภาค ดังนั้น การที่รัฐบาลออกนโยบายที่มีความทะเยอทะยานและมีความสม่ำเสมอ บวกกับการดำเนินการอย่างมุ่งมั่น จึงเป็นสิ่งสำคัญ
พร้อมทั้งบอกว่า วันสิ่งแวดล้อมโลกเป็นเวทีสำคัญสำหรับผู้นำและรัฐบาลทั่วโลกในการเพิ่มความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไปสู่วิธีที่เป็นมิตรมากขึ้น และดำเนินการตามนโยบายที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถแก้ไขวิกฤติสิ่งแวดล้อมที่โลกเราเผชิญอยู่ได้
โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ได้จัดทำแนวทางปฏิบัติในธีม Only One Earth สำหรับวันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้ มีคำแนะนำสำหรับรัฐบาล หรือผู้กำหนดนโยบาย เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยโลกให้พ้นวิกฤติ ดังนี้
ปิดช่องโหว่การปล่อยมลพิษทางอากาศ
เพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติด้านสภาพอากาศ โลกเราจำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำเป็นต้องลง 45 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2030 และลดลงจนการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ซึ่งจะสามารถทำได้ถ้ารัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพิ่มความมุ่งมั่นที่เคยตกลงไว้ภายใต้ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และดำเนินการอย่างจริงจังตั้งแต่ตอนนี้
ยกตัวอย่างสิ่งรัฐบาลสามารถทำได้ เช่น
ปกป้องและฟื้นฟูธรรมชาติ
รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อหยุดยั้งความเสื่อมโทรมของธรรมชาติ และฟื้นฟูระบบนิเวศทั้งบนบก และในทะเล ซึ่งที่ผ่านมาเราพลาดเป้าที่ตั้งไว้ ดังนั้นวัตถุประสงค์ใหม่จึงต้องได้รับการสนับสนุนจากแผนปฏิบัติการที่แข็งแกร่ง และการสนับสนุนทางการเงิน
ตัวอย่างสิ่งที่รัฐบาลสามารถทำได้ เช่น
นอกจากการกำหนดนโยบายที่มุ่งเป้าหมายบังคับใช้กับภาคธุรกิจหรือระดับองค์กรต่างๆ แล้ว รัฐบาล-ผู้กำหนดนโยบายสามารถ (และควร) ส่งเสริมวิถีการดำเนินชีวิตที่ยั่งยืน เพื่อให้ประชาชนร่วมกันปกป้องโลกด้วย
เพราะกิจกรรมของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เรากิน วิธีที่เราเดินทาง สถานที่ที่เราอาศัยอยู่ สิ่งที่เราสวมใส่ ฯลฯ ล้วนแต่เชื่อมโยงโดยตรงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นตัวเร่งวิกฤติสภาพภูมิอากาศ และยังไม่รวมถึงผลกระทบอื่นๆ อย่างเช่นความหลากหลายทางชีวภาพที่ลดลงจากวิถีที่เราบริโภคอาหารอย่างไม่หลากหลาย
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ในระดับปัจเจกก็สำคัญเช่นกัน
ตามรายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) บอกว่า เราสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกได้ 40-70 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2050 ถ้ามีนโยบาย โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยีที่เหมาะสม
ลิวอิส อาเคนจิ (Lewis Akenji) ผู้เขียน (ร่วม) ‘Enabling Sustainable Lifestyles in a Climate Emergency’ บทสรุปยุทธศาสตร์นโยบายที่เป็นรูปธรรมจากนานาประเทศ วิเคราะห์ว่า การที่คนเราจะเปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนทางเลือกการอุปโภคบริโภค จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนระบบที่ตอบสนองความต้องการและความปรารถนาของคนเรา ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน กฎหมาย บรรทัดฐานทางสังคม ฯลฯ อย่างเช่น ต้องทำให้ราคาสินค้าไม่แพง-เข้าถึงได้ และเป็นที่ต้องการมากขึ้น ซึ่งการจะทำให้เกิดขึ้นได้จำเป็นต้องมีการตัดสินใจร่วมกัน และมีการดำเนินการของรัฐบาล
เขาบอกว่า เรามักได้ยินเรื่องการแบ่งขั้วระหว่างการกระทำของปัจเจกบุคคล กับการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ แต่จริงๆ แล้วมันแบ่งออกจากกันไม่ได้ขนาดนั้น ด้วยความเร่งด่วนที่เราต้องเร่งแก้ปัญหาในตอนนี้ มันจึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินไปพร้อมกันทั้งสองส่วน
อาเคนจิ แชร์ข้อมูลว่า มีปัจจัยสำคัญสามประการที่หล่อหลอมวิถีชีวิตของคนเรา ได้แก่ หนึ่ง-ทัศนคติ เช่น บรรทัดฐานทางสังคมและสื่อ สอง-ผู้อำนวยความสะดวก หรือสิ่งจูงใจ และสาม-โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพหรือทางเทคโนโลยี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่แท้จริงต้องอาศัยปัจจัยทั้งสามประการร่วมกัน รัฐหรือผู้กำหนดนโยบายสามารถสร้างวิถีการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนได้โดยการสร้างบริบทที่ช่วยให้ประชาชนเลือกตัวเลือกที่ยั่งยืนเป็นทางเลือกแรก อย่างเช่น ทำให้การปั่นจักรยานเป็นเรื่องง่ายกว่าการใช้รถยนต์
สองในสามปัจจัยที่อาเคนจิบอกนี้ เป็นหน้าที่รัฐที่ต้องทำ คือ การอำนวยความสะดวก สร้างสิ่งจูงใจ และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการเปลี่ยนวิถีชีวิตของประชาชน
ถ้ารัฐออกนโยบายที่เหมาะสม และดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อสร้างตัวเลือกที่ดีกว่าขึ้นมา ก็จะสร้างการเปลี่ยแปลงได้