หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ คอลัมน์ตรวจการบ้าน หน้า 3 ฉบับวันที่ 30 ก.ค.59
“...เสียง
โหวต “รับ” แปลออกมาได้สองทางคือ เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญและคสช.
อีกส่วนแปลได้ว่าเขาอยากพ้นไปจากช่วงนี้
อยากไปสู่การเลือกตั้ง ขณะที่เสียงโหวต “ไม่รับ” ก็แปลได้ทั้งสองทาง
คือ ไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญ และ ขบวนการที่คสช.กำหนดขึ้น
หรือ “ไม่รับ”เพราะอยากให้ คสช. อยู่ต่อ...”
ความโปร่งใสคือประชามติที่ชอบธรรม
การออกแถลงการณ์ 2
ครั้งถึงรัฐบาลของเครือข่ายประชาสังคมในนาม“กลุ่มพลเมืองผู้ห่วงใย”ที่ขอให้
เปิดเวทีและเปิดเผยทางเลือกหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน
เป็นกระแสที่สังคมกำลังจับตามองอยู่ในขณะนี้ “ทีมการเมืองเดลินิวส์”ได้รับ
เกียรติจาก ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์
ผอ.สถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม และอดีตกรรมาธิการ
(กมธ.)ยกร่างรัฐธรรมนูญ มาบอกถึงที่มาของกลุ่มฯและมองสถานการณ์ก่อน – หลัง
วันที่ 7 ส.ค.นี้
ดร.บัณฑูร บอก
ว่า...จุดเริ่มต้นของกลุ่มฯมาจากบรรยากาศในการทำประชามติช่วงต้นๆ
ที่อึมครึมมากกว่านี้ กติกาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่ออกมา
ท่าทีของฝ่ายความมั่นคงค่อนข้างที่จะปิด
ภายใต้ความเป็นห่วงร่วมกันเวลาไปทำกิจกรรมต่างๆเราก็จะเจอ “คนที่มีความ
ห่วงใย”ต่อสถานการณ์เช่นนี้ ก็เลยเป็นที่มาของการออกคำแถลงการณ์ ฉบับที่
1 เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 59
และก็ติดตามดูปรากฏว่ายังมีข้อติดขัดในเรื่องข้อมูลเพื่อการตัดสินใจที่ยัง
ไม่ครบถ้วน
ทั้งในแง่ของการเข้าถึงเนื้อตัวรัฐธรรมนูญที่ยังแจกไปไม่ถึงเจ้าบ้านของผู้
มีสิทธิลงประชามติ รวมถึงข้อมูลในการตัดสินใจว่า ถ้ารัฐธรรมนูญไม่
ผ่านกระบวนการหลังจากนั้นจะเกิดอะไร จึงเป็นที่มาของคำแถลงการณ์ ฉบับที่
2 ซึ่งเนื้อหาคำแถลงการณ์ทั้ง 2 ฉบับ
คือในเชิงกระบวนการว่าเราจะมีจุดร่วมกันในการทำให้กระบวนการทำประชามติเป็น
ไปตามมาตรฐานที่ควรเป็น เพื่อให้ผลเป็นที่ยอมรับ
ทำให้ผลนำไปสู่การก้าวเดินต่อของสังคม ส่วนการตัดสินใจเป็นอิสระของบุคคล
ขององค์กร
หาก
จะย้อนกลับไปต้องบอกว่าจุดเริ่มต้นของ 117 คน
จริงๆก็ทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ก่อนปฏิวัติ วันที่ 22 พ.ค. 57
ภายใต้เครือข่ายการทำงานด้านสังคม เครือข่ายเดินหน้าปฏิรูป
ก็มีบทบาทการทำงานในงานเพื่อสังคม การผลักดันกระบวนการปฏิรูป
ทำให้ที่มาจากหลากหลายมุมที่ต้องการเห็นจุดร่วมทางสังคม ซึ่งเราอยากจะเห็น
ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ขยับไปจากจุดที่มองแต่ละฝ่ายว่าเป็น “คู่ขัด
แย้ง”ที่ไม่สามารถทำงาน
หรือมีจุดร่วมอะไรบางอย่างในสังคมได้และเราอยากจะทดลองพิสูจน์ดูว่าสังคมไทย
ยังสามารถที่จะหาจุดร่วมในบางเรื่องที่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อบ้าน
เมือง โดยที่ไม่เอาเรื่องสีทางการเมืองมาเป็นตัวปิดกั้นหรือไม่
@ มองความเคลื่อไหวของทั้งฝ่ายรับ-ไม่รับ ณ เวลานี้อย่างไร
ขณะนี้ผลสำรวจระบุ
ว่ายังคนที่ยังไม่ตัดสินใจอยู่กว่า ร้อยละ 60 ดังนั้นทั้ง 2
ฝ่ายจะต้องดึงเสียงของคนกลุ่มนี้ให้ได้
ตรงนี้ยังไม่รวมถึงกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับเต็มที่ยังส่งไม่ถึงแต่ละบ้าน
ถ้ายังเป็นแบบนี้ผมคิดว่าผลที่ออกมาเสียงก็จะสูสี แต่อีกสถานการณ์ที่น่า
เป็นห่วงคือถ้า “กลุ่มคนที่ยังไม่ตัดสินใจ” ยังไม่มีข้อมูลที่เพียงพอที่เขา
มั่นใจว่าจะไปตัดสินใจทางใดทางหนึ่งก็อาจจะตัดสินใจที่จะไม่เดินออกไปใช้
สิทธิ
ตรงนั้นก็เป็นสถานการณ์ที่น่าจะต้องคิดอย่างหนักทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องทุก
ฝ่ายว่าทำอย่างไรถึงจะแก้ปัญหาตรงนี้
ทั้งนี้เสียง
โหวต “รับ” สามารถแปลออกมาได้สองทาง
โดยจะบอกได้ว่า “รับ”เพราะเห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญ เห็นด้วยกับ คสช.
ขณะเดียวกันเสียงที่ “รับ”อีกส่วนหนึ่งก็แปลความได้ว่า
เขาอยากพ้นไปจากช่วงนี้
อยากไปสู่การเลือกตั้ง เช่นเดียวกับเสียงโหวต “ไม่รับ” ก็แปลได้ทั้งสองทาง
ด้วย
คือ “ไม่รับ”เพราะว่าไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญ ไม่เห็นด้วยกับการร่างรัฐ
ธรรมนูญที่มาจากขบวนการที่คสช.เป็นผู้กำหนดขึ้นอย่างจำกัด
หรือ “ไม่รับ”เพราะอยากให้ คสช. อยู่ต่อ
เราจะเห็นความแตก
ต่างชัดเจนในการแปลความ
และเป็นเหตุผลทางการเมืองที่แปลความได้ในทางตรงกันข้ามกัน
โดยเฉพาะเสียงที่สูสีกันมีความหมายอย่างไรทั้งฝ่ายที่รับและไม่รับ
ซึ่งสามารถแปลความได้ทุกมุม ซึ่งตรงนี้น่าเป็นห่วง
ถ้าเสียงออกมาสูสีมากและมีคนออกมาใช้สิทธิน้อย
“ข้อเสนอในวันนี้
คือจะต้องทำให้ผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจมีข้อมูลอย่างครบถ้วนทั้ง 2 ด้าน
และถ้าไม่รับกระบวนการที่จะเดินต่อหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร
เพราะถ้าเสียงคนไปใช้สิทธิน้อย
แล้วเสียงออกมาสูสี ผลของการลงประชามติที่จะนำไปอ้างเพื่อใช้เดินหน้าต่อก็
จะมีปัญหาพอสมควร”
@ทิศทางการเมืองหลังวันที่ 7 ส.ค.จะเป็นแบบใด
ในช่วงโค้งสุดท้าย
ผมอยากเห็นเวที โดยเฉพาะสถาบันวิชาการ
สถาบันการศึกษามาร่วมกันนำเสนอข้อวิเคราะห์เหล่านี้ต่อสังคม
เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่เราจะต้องเดินกันต่อหลังวันที่ 7 ส.ค. ว่ากรณี“ผ่าน-
ไม่ผ่าน” โจทย์หรือการบ้านของประเทศไทยคืออะไร
ถ้าผ่านกระบวนการที่จะเดินกันต่อแบบที่ทำให้ทั้งเกิดการเลือกตั้งตามโร
ดแม็พที่เราถูกนานาชาติจับจ้องมองอยู่จะทำอย่างไร
รวมถึงถ้าไม่ผ่านเราจะมีกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่จะให้ได้มาเป็นเนื้อหา
รัฐธรรมนูญที่คนส่วนใหญ่เห็นพ้องร่วมกัน
ไม่ใช่กลายเป็นฉบับที่ตกไปอีกเป็น “ฉบับที่ 3”ตรงนี้จะทำอย่างไร
กรณี “ผ่าน”ยังพูด
กันน้อยมาก เช่น เนื้อหาของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญจำนวน 10
ฉบับจะมีเนื้อหาอย่างไรจะตอบโจทย์ความต้องการของสังคมหรือไม่
รวมไปกฎหมายที่จะต้องตราออกมาเพื่อให้รัฐธรรมนูญเกิดความสมบูรณ์ เช่น
.กฎหมายว่าด้วยกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ
กฎหมายกำหนดแผนและขั้นตอนการปฏิรูป
ซึ่งมีความสำคัญที่จะทำให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อและเป็นการมองอนาคตระยะยาว
เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนปฏิรูปที่จะต้องเห็นผลภายใน
5ปี ซึ่งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งครั้งแรกจะเป็นรัฐบาลที่มีภารกิจสำคัญ
ที่จะทำให้ประเทศเดินไปในช่วงเปลี่ยนผ่าน
ควรจะมีรูปแบบที่ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าจะเป็นรัฐบาลที่รับภารกิจกับ
เรื่องนี้ได้ และไม่เป็นปัจจัยนำไปสู่ความขัดแย้งในรอบใหม่
ในระดับที่รุนแรงเป็นอย่างไร
ดังนั้นตัวรูปแบบรัฐบาลก็มีความสำคัญก่อนที่จะไปถึงการเลือกตั้ง
@ถ้าประชามติไม่ผ่าน ทางเลือกที่เหมาะสมคืออะไร
ต้องเริ่มจากการมี
ข้อมูลจากทั้ง 2 ฝ่ายว่าที่ “โหวตไม่ผ่าน”นั้น
คนที่ตัดสินใจเหตุผลเพราะอะไร เช่นเดียวกันก็ต้องไม่ทิ้งความเห็น
เหตุผลการตัดสินใจของคนที่ไป “โหวตผ่าน”ว่าที่โหวตให้ผ่านแต่เสียงไม่พอเขา
มีเหตุผลอย่างไร ทั้ง 2
ส่วนเป็นเหตุผลสำคัญที่จะนำมาออกแบบการร่างรัฐธรรมนูญในกระบวนการต่อไป
เพราะถ้าไม่ผ่านเท่ากับว่า 2
ฉบับแล้วที่กระบวนการที่ทำในแบบจำกัดเป็นตัวพิสูจน์ว่าสังคมไม่ยอมรับ
จึงเป็นส่วนที่น่าจะเห็นชัดว่าครั้งที่ 3 น่าจะต้องทำให้เปิดกว้าง
สังคมร่วมกันคิด
ผมเชื่อว่าทางเลือกนี้สังคมไทยร่วมกันคิดได้เยอะ โดยหลักแล้วคือควรจะเอาโร
ดแม็พที่กำหนดเรื่องการเลือกตั้งเป็นตัวตั้ง
ส่วนตัวอย่างทาง
เลือกของการจะร่างขึ้นใหม่คือแก้รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.
2557 นำไปสู่การเลือกตั้ง
เขียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับเลือกตั้งเพื่อให้การเลือกตั้งสามารถเกิดขึ้นได้ตาม
โรดแม็พ และเมื่อมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งมาออกแบบกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ
ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งร่วมกันตรงนี้ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่เริ่ม
พูดกันว่าสามารถทำได้
ซึ่งในกรณีนี้ก็ต้องมาทำการบ้านกันในตอนต้นว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นใน
ระยะอันใกล้จากการแก้รัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557
ควรจะเป็นแบบไหน ซึ่งผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถที่รัฐบาล
และฝ่ายต่างๆ จะมาหาข้อยุติร่วมกันได้
ส่วนจุดหลักสำคัญ
ที่อยากจะเน้นย้ำคือจะต้องให้สังคมฝ่ายต่างๆร่วมกันเสนอแนะแนวทางร่างกัน
ใหม่ได้อย่างสร้างสรรค์ สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น
โดยเริ่มตั้งแต่โจทย์ที่ว่าเราจะร่างใหม่กันได้อย่างไร
ตรงนั้นจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เราจะได้รัฐธรรมนูญฉบับ 20/3
ที่ผ่านและได้รับฉันทามติจากเสียงส่วนใหญ่ในสังคม
@ ถ้า คสช.-รัฐบาล ยังยึดรูปแบบเดิมในการร่างฉบับ 20/3
มีความน่าเป็นห่วง
อย่างยิ่ง ถ้าจะใช้แนวทางเลือกแบบนั้น
เพราะว่าเสียงของสังคมที่สะท้อนออกมาแล้วทำให้ประชามติไม่ผ่าน
ก็เป็นข้อพึงพิจารณาว่ากระบวนการร่างแบบแนวที่ คสช.ใช้มาทั้ง 2แบบ
ทำให้ได้ผลผลิตเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่ประชาชนไม่ยอมรับก็ควรจะนำไปสู่การ
เปลี่ยนแปลง ถ้ายังเดินตามแนวทางเดิมก็น่าเป็นห่วงต่อปัจจัยเสี่ยงต่อการ
ยอมรับกับการที่จะทำให้เกิดชนวนความขัดแย้ง
ซึ่งไม่ควรไปเติมเชื้อความเสี่ยง ต่อการสร้างความขัดแย้งรอบใหม่
@ในฐานะเป็น อดีต กมธ.ยกร่างฯมองบรรยากาศช่วงนี้คล้ายๆกับก่อนที่จะถูกคว่ำร่างฯหรือไม่
ความ
คล้ายกันที่มีคือแรงกดดัน ที่ถาโถมไปอยู่กับผู้ร่างรัฐธรรมนูญ
ส่วนที่ต่างกันคือผู้ที่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจจะกว้างกว่าสภาปฏิรูปแห่ง
ชาติ (สปช.) 250 คน แต่ตอนนี้เป็นเรื่องของคน 50
ล้านคนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง
และที่น่าสังเกตคือยังมีความเหมือนกันในเรื่องของ “ความไม่แน่นอนของผลการ
ตัดสินใจ” สังคมการเมืองไทยจุดพลิกผันเกิดขึ้นได้ตลอดและมักจะมีปัจจัยที่ทำ
ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ชั่วข้ามคืน ซึ่งก็จะมีความรู้สึกคล้ายกัน ตอนยุค
ฉบับ 20/1 ของอ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
ก็มีแนวโน้มมาในแบบหนึ่งแล้วก็มาพลิกผันในช่วง3-4วันสุดท้ายที่เปลี่ยนแปลง
ส่วน
กรณีฉบับ 20/2
น่าจับตามองว่าความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในช่วง3-4วันสุดท้ายว่าจะมีปัจจัย
อะไรที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันเกิดขึ้นได้หรือไม่.
สิริกันยา