ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งในแง่ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม คุณภาพสิ่งแวดล้อม ความขัดแย้งระหว่างนโยบายและโครงการพัฒนาในด้านต่างๆ ของภาครัฐและภาคเอกชนกับการดูแลปกป้องสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติโดยองค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรชุมชน เป็นปัญหาที่มีแนวโน้มที่มีความรุนแรงในระดับที่สูงขึ้น ปัญหาดังกล่าวมีผลกระทบทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมต่อการดูแลคุ้มครอง “สุขภาวะ” ทั้งในด้านสุขภาวะทางกาย ทางจิต และทางสังคม นับเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญเรื่องหนึ่งต่อการมีสุขภาวะที่ดี
สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งของปัญหาดังกล่าวเนื่องมาจาก กระบวนการกำหนด “นโยบายสาธารณะ” ด้านสิ่งแวดล้อมที่เชื่อมโยงกับสุขภาพ ยังขาด “ระบบธรรมาภิบาล” ซึ่งมีขอบเขตความหมายรวมถึงความโปร่งใส การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง การไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และมีความพร้อมรับผิดชอบของผู้กำหนดนโยบายและองค์กรที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุสำคัญอีกส่วนหนึ่งเนื่องจากเครื่องมือที่ใช้ในการตัดสินใจกำหนดนโยบายสาธารณะด้านสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น ระบบการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EIA/ EHIA) กฎหมาย เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ ฯลฯ เป็นเครื่องมือที่ไม่สอดรับกับสภาพความเปลี่ยนแปลงของระดับความรุนแรงของปัญหาสิ่งแวดล้อม ความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ประชาชนมีความตื่นตัวและจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ต้องการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในระดับที่สูงกว่าการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
การที่จะสร้างให้เกิดระบบธรรมาภิบาลดังกล่าวต้องกำหนดเป็นข้อบัญญัติไว้ในกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้อง เป็นการกำหนดกรอบแนวทาง ขั้นตอน และวิธีปฏิบัติของหน่วยงานภาครัฐที่มีอำนาจหน้าที่ด้านการบริหารจัดการ การกำหนดนโยบายสาธารณะด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ในขณะเดียวกัน ต้องมีการปฏิรูป พัฒนาและสร้างนวัตกรรมด้านกระบวนการ และเครื่องมือที่ใช้ในการตัดสินใจกำหนดนโยบายสาธารณะด้านสิ่งแวดล้อมที่เชื่อมโยงกับสุขภาพ
ในกรณีระบบ EIA และEHIA ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือหลักสำคัญที่ใช้การตัดสินใจนโยบายสาธารณะและโครงการพัฒนาที่มีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากต่อการประเมินผลกระทบในด้านต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการทำโครงการพัฒนา รวมทั้งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสุขภาพ เพื่อแสวงหาแนวทาง มาตรการในการป้องกันหรือลดผลกระทบอย่างเหมาะสม ถูกต้องตามหลักวิชาการและสามารถปฏิบัติได้จริง อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับรายงาน EIA และ EHIA ในระดับที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงในหลายกรณี การทำรายงาน EIA/ EHIA ไม่ได้รับความเชื่อถือและยอมรับจากชุมชน องค์กรพัฒนาเอกชน และนักวิชาการจำนวนมากอันที่จริงปัญหาดังกล่าว เป็นปัญหาที่สะสม เรื้อรังมาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีหลายกรณีที่สะท้อนถึงความจำเป็นที่ต้องปฏิรูปโครงสร้างและระบบการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เช่น กรณีโรงไฟฟ้าหินกรูดบ่อนอก กรณีโรงเหล็กบางสะพาน กรณีนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด กรณีเหมืองแร่ทองคำ จ.เลย ฯลฯ อาจกล่าวได้ว่า การทำรายงาน EIA/EHIA ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีวัตถุประสงค์เพื่อหาทางป้องกันและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ได้กลายเป็นเครื่องมือที่กลายเป็นกับดักของความขัดแย้งในตัวเอง มีชุมชนในหลายพื้นที่ปฏิเสธ คัดค้านไม่ยอมให้มีการศึกษา EIA/EHIA ในพื้นที่
ในช่วงที่ผ่านมา มีความพยายามแก้ไขปัญหาของการจัดทำรายงาน EIA/ EHIA ในแต่ละประเด็นปัญหามาเป็นระยะ อย่างไรก็ดี ปัญหาของการทำรายงาน EIA/EHIA ในปัจจุบัน ไม่สามารถแก้ไขได้แบบการแก้ไขทีละจุด แบบปะผุ จำเป็นต้องปฏิรูปในเชิงโครงสร้างและระบบ เป็นการ “รื้อ-สร้าง” ทั้งระบบ ตั้งแต่การจัดทำ การพิจารณา การติดตามตรวจสอบ ในอดีตที่ผ่านมา ทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคประชนได้มีความพยายามปฏิรูประบบการจัดทำรายงาน EIA/EHIA มาหลายครั้งแต่ยังไม่ประสบ ในกระแสของการปฏิรูปประเทศไทยครั้งนี้นับเป็นโอกาสสำคัญของการผลักดัน ขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างและระบบการจัดทำรายงาน EIA /EHIA โดยหลักการสำคัญของการปฏิรูป คือ สร้างระบบธรรมาภิบาล ทั้งในแง่สร้างความโปร่งใส สร้างการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย ป้องกันมิให้เกิดปัญหาการทับซ้อนของผลประโยชน์ และสร้างระบบการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างภาคีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการจัดวางบทบาทและความสัมพันธ์ทางอำนาจหน้าที่ระหว่างองค์กร ผู้มีส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ องค์กรภาครัฐภาคประชาชน ชุมชน องค์การอิสระสิ่งแวดล้อม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ การออกแบบระบบติดตามตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้มีการปฏิบัติตามมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่ระบุไว้ในรายงาน EHIA ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำรายงาน EHIA
นอกจากการ “รื้อ-สร้าง” ระบบ EIA/EHIA แล้ว จำเป็นต้องมีการพัฒนา สร้างนวัตกรรมด้านเครื่องมือเพื่อการตัดสินใจนโยบายสาธารณะด้านสิ่งแวดล้อมที่เชื่อมโยงกับสุขภาพไปพร้อมกันด้วย ตัวอย่างเช่น การประเมินสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ หรือ SEA เนื่องจากจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยทำให้กระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะ การวางแผนพัฒนาพื้นที่ การพัฒนาเศรษฐกิจรายสาขา และการกำหนดนโยบายการพัฒนาในด้านต่างๆ อยู่บนพื้นฐานแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน มีการประเมินศักยภาพด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยี มีการคิดวิเคราะห์ทางเลือกของการพัฒนา ประเมินผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบของทางเลือกต่างๆ อย่างรอบด้าน ที่จะสำคัญ จะเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยป้องกันและลดความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นในระดับโครงการ
เนื่องจากปัญหาที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างและระบบ การเปลี่ยนแปลงแก้ไขจึงทำได้ยาก มีแรงต้านทานสูง ไม่สามารถผลักดันแก้ไขให้เกิดผลสำเร็จได้โดยการดำเนินงานขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือ การทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายระหว่างองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นการเสริมพลัง (Synergy) ระหว่างองค์กรและเครือข่าย และสร้างพลังร่วมทางสังคม จากพลังประชาชนในสังคมในฐานะที่เป็นผู้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และเป็นผู้ก่อให้เกิดมลพิษ ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้านต่างๆ แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา องค์กรภาคประชาสังคมส่วนใหญ่ที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร มีงานที่แยกทำงานเฉพาะของตนเอง เป็นงานในเชิงเจาะลึกต่อประเด็นปัญหาแต่ละด้าน เช่น ด้านทรัพยากรน้ำ ด้านพลังงาน ด้านเหมืองแร่ ด้านมลพิษสิ่งแวดล้อม ด้านที่ดินและป่า ฯลฯ แต่ขาดกลไกความร่วมมือ การประสานงานที่จะเสริมพลังในระดับเพียงพอต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลง ผลักดันการปฏิรูปในเชิงโครงสร้างและระบบให้เกิดขึ้นได้จริง
ดังนั้น ในกระแสเรียกร้องและความตื่นตัวของการปฏิรูปประเทศในทุกมิติที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ เป็นช่วงจังหวะสำคัญที่หน้าต่างแห่งโอกาสเปิดกว้างต่อการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดการปฏิรูปในระดับโครงสร้างและระบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม โดยอาศัยการสังเคราะห์องค์ความรู้ การสร้างนวัตกรรมเกี่ยวกับเครื่องมือที่ช่วยในการกำหนดนโยบายสาธารณะด้านสิ่งแวดล้อม และการสร้างพลังงานร่วมทางสังคมที่ร่วมขับเคลื่อนกระบวนการปฏิรูป นำไปสู่การกำหนดนโยบายสาธารณะด้านสิ่งแวดล้อมที่มีธรรมาภิบาลและช่วยเสริมสร้างสุขภาวะที่ดี