ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12[1]
ได้มีการประเมินว่าประเทศไทยยังคงประสบปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
อันเนื่องมาจากทรัพยากรถูกนำไปใช้ในการพัฒนาจำนวนมากก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมอย่างต่อเนื่องและเกิดปัญหาความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น
เป็นอุปสรรคต่อแนวทางการพัฒนาประเทศ โดยสาเหตุสำคัญคือ การขาดธรรมาภิบาล
ซึ่งมีผลการประเมินผ่านดัชนีความอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันในสังคมไทย
ชี้ว่าองค์ประกอบสังคมประชาธิปไตยที่มีธรรมภิบาลอยู่ในระดับที่ต้องเร่งแก้ไข
ซึ่งสภาวะดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบโยงไปสู่ปัญหาการจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ทรัพยากร
ระหว่างกลุ่มคน โดยเฉพาะในระดับชุมชน ในขณะเดียวกัน
พบว่าความเข้มแข็งของชุมชนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
โดยชุมชนสามารถแก้ปัญหาและสนองตอบความต้องการของชุมชนได้ดีขึ้น
โดยมีกระบวนการจัดทำแผนชุมชนที่ครอบคลุมทุกพื้นที่และบูรณาการเป็นแผนเชื่อมโยงกับแผนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ในหลายๆพื้นที่ความร่วมมือที่เกิดขึ้นดังกล่าวนำไปสู่การสร้างกฎกติกา
การจัดตั้งเป็นองค์กรและวางระบบการบริหารจัดการปัญหาการลดลงของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีหลายๆภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม
ตั้งแต่การวางแผน
การระดมทุนทั้งที่อยู่ในรูปของเม็ดเงินและทุนในลักษณะอย่างอื่นเช่น แรงงาน
หรือพลังของเครือข่ายต่างๆ
มีการพบปะจัดประชุมติดตามประเมินผลเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง และในประการสำคัญ
มีบางพื้นที่ด้วยการข้ามพ้นข้อจำกัดภายในชุมชนและหันหน้าสร้างความร่วมมือกันในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดการแสวงหาทางออกที่ผู้คนในชุมชนอยู่รอดอย่างน้อยๆบนปัจจัยสี่
สภาพธรรมชาติฟื้นกลับคืนมา ซึ่งมีกรณีตัวอย่างที่เป็นนวัตกรรมทางสังคม
ในหลายๆพื้นที่ อาทิเช่น การสร้างกฎระเบียบของชุมชนในการจัดการพื้นป่าตามแนวทางวัฒนธรรมประเพณีให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบกฎหมายของรัฐ โครงการนาแลกป่า ฯลฯ เป็นต้น
[1]สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, เอกสารประกอบการระดมความคิดเห็น ทิศทางการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมฉบับที่ 12